สถาบันนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม (Science Technology and Innovation Policy Institute) หรือ “STIPI” เป็นหน่วยงานระดับคณะของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) ซึ่งจัดตั้งขึ้นโดย มติสภามหาวิทยาลัยเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2559 การจัดตั้งสถาบัน STIPI นั้นเป็นความริเริ่มร่วมกันของสำานักงานคณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งชาติ (สวทน.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ในขณะนั้น) หรือสำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สวอช. ในปัจจุบัน)
สถาบันมีวัตถุประสงค์ในการสร้างองค์ความรู้และผลิตผลงานวิจัยประยุกต์ ที่สามารถนำไปปฏิบัติได้จริง (Practical) ส่งเสริมการจัดทำนโยบายที่ตั้งอยู่บนฐานของข้อมูลเชิงประจักษ์ที่รอบด้าน (Evidence-based) มุ่งพัฒนาและผลิตบุคลากรเพื่อให้เกิดเป็นชุมชนนักวิจัยนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมที่มีความสามารถในการวิจัย และเข้าใจในกระบวนการนโยบาย เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับระบบนวัตกรรมของประเทศ ให้พร้อมรับมือกับความท้าทายในระดับชาติและระดับนานาชาติ
มจธ. ในฐานะที่เป็นสถาบันการศึกษาและวิจัยชั้นนำของประเทศด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาเกือบ 60 ปี นับเป็นจุดเริ่มต้นการทำนโยบายด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ถือได้ว่าเป็นการต่อยอดความเชี่ยวชาญเชิงลึกด้านเทคนิค (Technical Expertise) ไปสู่การสร้างผลกระทบต่อการพัฒนาประเทศได้ในอีกมิติหนึ่ง
ในช่วง 2 ปีแรก เป็นการวางรากฐานของสถาบัน โดยมีนักวิจัยและผู้เชี่ยวชาญมาประจำที่สถาบัน ได้แก่ Dr. Jeong Hyop Lee ซึ่งเคยเป็นผู้อำนวยการ Center for STI Development and Research Fellow, Global Policy Research Center, the Science & Technology Policy Institute (STEPI) ประเทศเกาหลีใต้ ร่วมกับ สอวช. และนักวิจัยนโยบายของ มจธ. อีกจำนวนหนึ่ง โดยเริ่มออกแบบและพัฒนาโครงสร้างสถาบัน สรรหาและพัฒนาบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถที่เหมาะสมและทำงานวิจัยนำร่องที่นำไปใช้ประโยชน์ได้ทันที
สถาบันได้เริ่มดำเนินการวิจัยและฝึกอบรมบุคลากรโดยอาศัยผู้เชี่ยวชาญภายใน และเครือข่ายผู้เชี่ยวชาญจากในประเทศและต่างประเทศ เพื่อดำเนินงานตามพันธกิจของสถาบันและได้ผลิตงานวิจัยนโยบายที่เกิดประโยชน์ต่อประเทศไทยผ่านโปรแกรมวิจัย จำนวน 5 โปรแกรม ได้แก่
(1) การก้าวพ้นกับดัก รายได้ปานกลางของประเทศด้วยกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เพื่ออนาคต (Middle-income-trap and New Growth Engine)
(2) ระบบนวัตกรรมระดับประเทศและภูมิภาค ของประเทศ (National and Regional Innovation Systems)
(3) ระบบนวัตกรรมเปิดในอาเซียน (ASEAN Open Innovation System)
(4) ระบบนิเวศน์การพัฒนากำาลังคนสะเต็ม (STEM* Workforce Ecosystem)
(5) รูปแบบการพัฒนานวัตกรรมรายสาขาอุตสาหกรรม (Sectoral Innovation Platform) เช่น สาขาพลังงาน,ยานยนต์ ดิจิทัล และอาหาร เป็นต้น